วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

5 เมืองในยุโรปที่สวยและน่าเที่ยวที่มีธรรมชาติและวัฒนธรรม

              เมื่อกล่าวถึงยุโรปก็นึกถึงหลายๆประเทศที่มีแหล่ท่องเที่ยวมากมาย แต่ล่ะประเทศก็มีความโด่ดเด่นในแต่ล่ะด้านเช่นฝรั่งเศสด้านแฟชั่นและน้ำหอม ซึ่งไม่มีเพียงเท่านั้นยังมีอีกมากมาย อีกด้านหนึ่งของยุโรปคือธรรมชาติที่มาพร้อมกับความเจริญ และมีเมืองที่ยังคงความเป็นธรรมชาติแบบนั้นอยู่มากเช่นกัน




เมืองซูริค

            เมืองซูริค เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 409 ม. ท่ามกลางทะเลสาบซูริคซึ่งเป็นทะเลสาบหลักยาว 28 กม. กว้าง 4 กม. และมีแม่น้ำลิมมัตเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุด เมืองซูริคมิใช่เมืองหลวงของประเทศ แต่มีชื่อเสียงระดับโลกและเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ ธนาคาร และวัฒนธรรม ซูริคยังเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกและเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปยุโรป อีกทั้งเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงมากที่สุดอันดับ 2ในสวิตเซอร์แลนด์ ตามหลังมาจากเมืองเจนีวา
     การท่องเที่ยวเมืองซูริก หรือเมืองซือริช (Zurich) เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองซูริกเป็นเมืองหลวงของรัฐซูริก (Kanton Zurich) รัฐที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ โดยอยู่บริเวณตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบซูริกซึ่งบริเวณเกือบทั้งหมดอยู่ภายในรัฐ ซึ่งซูริคเป็นเมืองที่มีความเป็นหนึ่งจากการผสมผสานระหว่างวิถีการดำเนินชีวิตที่ดีกับสิ่งแวดล้อม ศิลปะ และงานเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ตลอดทั้งปี ทำให้เมืองนี้มีชีวิตชีวา ความรื่นเริงแก่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว



กรุงเบิร์น




           กรุงเบิร์น หรือ เมืองเบิร์นเป็นอีกเมืองที่น่าเที่ยวที่มีความเป็นธรรมชาติอยู่ และเป็นเมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ ก่อตั้งขึ้นในปี 1191 โดย Duke Berthold   von Zahringen
นอกจากนี้แล้วกรุงเบิร์นยังเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันที่มีความยิ่งใหญ่อีกด้วย มีแม่น้ำ Aare ล้อมรอบตัวเมือง แม่น้ำแห่งนี้เปรียบเหมือนปราการธรรมชาติซึ่ง ป้องกันเมืองไว้ทั้ง สามด้านสำหรับด้านที่สี่ชาว เมืองได้สร้างกำแพงและสะพานข้ามที่สามารถชักขึ้นลงได้ และโดยการรักษาผังเมืองให้มีสภาพดังเดิมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา Bernจึงได้รับการ ประกาศ ให้เป็นมรดก โลกของ UNESCO ซึ่งเป็นเมืองเดียวในประเทศ สวิตเซอร์แลนด์ การเดินชมเมือง ควรเริ่มจาก Rose Garden เพียง 5 นาทีก็จะพบกับบ่อเลี้ยง หมีของเมือง ( หมี เป็น สัญลักษณ์ของ Bern )จากนั้นเมื่อเดินข้ามสะพานมา ก็จะเริ่มเข้าเขตเมืองเก่า ที่มีหลังคาคลุมตลอดทางยาวถึง 6 กิโลเมตร ภายใต้หลังคานี้มีร้านค้ามากมายหลายร้อยแห่ง รวมทั้งภัตตาคารที่มีมากกว่า 150 แห่งในเขตเมืองเก่า และด้วยการดูแลรักษาสถาปัตยกรรมของเมืองอย่างดี

    ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ทิศเหนือ ติดกับสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทิศตะวันออก ติดกับออสเตรีย และลิคเตนสไตน์ ทิศใต้ ติดกับอิตาลี ทิศตะวันตก ติดกับฝรั่งเศส โดยมี กรุงเบิร์น (Berne) เป็นเมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วย






เมืองเอดินเบิร์ก




            เมืองเอดินเบิร์ดจัดว่าเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่ระดับโลกได้สบายๆ  หรือหากจะพูดถึงพวก
แกลเลอรี พิพิธภัณฑ์ หรือหอศิลป์  ก็โดดเด่นเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร  เพราะนครหลวงของสก็อตแลนด์แห่งนี้ เคยเป็นศูนย์กลางทางด้านศิลปะและวัฒนธรรมนับแต่อดีต    ทั้งเมืองเก่าและเมืองใหม่ของเอดินเบิร์ก ช่างมีความน่าดูไม่น้อยไปกว่ากัน ด้วยเป็นเมืองที่กักเก็บวัฒนธรรมที่เก่าแก่มาอย่างยาวนาน  โดยเฉพาะถนนหนทางและอาคารบ้านเรือนในย่านเมืองเก่าที่มากมายไปด้วยประวัติศาสตร์  จนยูเนสโกยกตำแหน่งเมืองมรดกโลกมาเป็นเครื่องการันตี


          เพลิดเพลินเจริญใจที่สุด  ก็ตอนเดินหย่อนอารมณ์ไปตามเส้นทางรอยัล ไมล์(Royal Mile)นี่แหละ  เพราะไม่เพียงเป็นการย่ำไปบนถนนอันเก่าแก่ประจำเมือง แต่ยังเป็นการย่างเท้าตามรอยบุคคลที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของสก็อตแลนด์มากมายนอกจากนี้ เอดินเบิร์กยังถูกเรียกว่าเป็นเฟสติวัล ซิตี้  เพราะมีประเพณีอันรื่นเริง และเทศกาลงานวัฒนธรรมให้สนุกสนานกันตลอดทั้งปี   ถึงขนาดมีจุดให้จองตั๋วล่วงหน้าสำหรับเทศกาลงานแสดงต่างๆเลย
 






เมืองโมนาโค



         
                  โมนาโกมีเมืองหลวงชื่อ "โมนาโก-วิลล์" (MONACO VILLE) หรือ ตัวเมืองเก่า ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูงริมฝั่งทะเล นอกจากนี้ยังมีเมืองสำคัญโดยเฉพาะนักเสี่ยงโชคชื่นชอบเป็นที่ยิ่งอย่าง "มอนติ คาร์โล" เมืองที่ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางการพนันแห่งยุโรปเลยทีเดียว  โมนาโก เป็นประเทศที่มีพื้นที่เล็กจิ๋วมากเล็กเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากนครรัฐวาติกันเท่านั้น อาณาเขตของโมนาโก ถูกล้อมรอบด้วยประเทศฝรั่งเศสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จึงได้รับสมญานามว่า "ไมอามี่แห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน" มีพื้นที่ของประเทศเพียง 1.95 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น มีการวัดเส้นรอบประเทศชายแดน ได้ 4.4 กิโลเมตร

               จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในโมนาโกนี้มีอยู่ทั้งสิ้นราว30,000 กว่าคน แต่ด้วยความเล็กของขนาดประเทศ ทำให้โมนาโกกลายเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมากที่สุดในโลก แม้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศโมนาโก แต่ประชากรหลักของประเทศนี้กลับเป็นชาวฝรั่งเศส ที่เหลือก็มีชาวโมนาโก อิตาลีและอื่น ๆลดหลั่นกันลงมา ฉะนั้นภาษาทางราชการของที่นี่จึงเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ก็ยังใช้ภาษาโมนาโก อิตาเลียนและอังกฤษอย่างแพร่หลายด้วย



เมืองบรัซเซลส์




                 เมืองหลวงของกรุงเบลเยี่ยมแห่งนี้ถือได้ว่ามีความสมบูรณ์แบบเหมาะแก่การเป็นสถานที่
พักผ่อนในช่วงวันหยุดสำหรับนักเดินทางที่ปรารถนาจะได้สัมผัสกับอารยธรรมตะวันตกที่มีความเป็นสากล อาทิเช่น ความงดงามของสถาปัตยกรรมยุโรป พิพิธภัณฑ์กว่า 70 แห่ง ร้านอาหารมากมายและสถานบันเทิงอีกนับไม่ถ้วน ที่นี่เป็นสถานที่ตั้งของสภาแห่งสหภาพยุโรปเนื่องจากมีทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับประเทศเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนีและลักเซมเบิร์ก บรัสเซลส์จึงมักถูกเรียกขานอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘เมืองหลวงของสหภาพยุโรป’ ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชากรในชาติซึ่งรวมถึงข้าราชการของยุโรป (Eurocrats) กว่า 20,000 คน  เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์มากมาย เติมเต็มช่วงเวลาอันสุนทรีย์สำหรับผู้ที่หลงใหลในงานศิลปะ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเบลเยียม (Royal Museum of Fine Arts) ตั้งอยู่ในบรัสเซลส์ตอนบน ซึ่งภายในเป็นสถานที่จัดแสดงพิพิธภัณฑ์ 2 แห่งในที่เดียวกัน ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะโบราณ (Musee d 'Art Ancien) และ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (Musee d' Art Moderne) ซึ่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งเบลเยี่ยมเป็นสถานที่ทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมือง  






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น